ประวัติศูนย์ปฏิบัติการพัฒนาที่ดินโคงการหลวง
ประวัติศูนย์ปฏิบัติการพัฒนาโครงการหลวง
จากการเสด็จแปรพระราชฐานมายังพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์จังหวัดเชียงใหม่เพื่อเยี่ยมเยือนทุกข์สุขของราษฎรในภาคเหนือทุกปี พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงตระหนักถึงความทุกข์ยากของราษฎรชาวไทยภูเขาที่ยังนิยมปลูกฝิ่นเพื่อหารายได้ยังชีพพระองค์ทรงรับทราบถึงปัญหาดังกล่าวที่จะเป็นอันตรายต่อประเทศชาติ
สืบเนื่องมาจากความทุกข์ยากของราษฎร และการขาดแคลนที่ดินทำกิน ขาดความรู้ในด้านการเกษตรตามที่ตลาดต้องการ ขาดความรู้ในการป้องกันรักษาที่ดินไม่ให้เสื่อมโทรม อีกทั้งยังไม่มีการปรับปรุงบำรุงดินให้ดีอยู่เสมอ ตลอดจนยังขาดเส้นทางคมนาคมที่จะสามารถส่งผลผลิตสู่ตลาด และยังด้อยความรู้ในด้านการตลาด จากที่กล่าวมานี้ ทำให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่า การทำไร่เลื่อนลอย เพื่อหาที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ จึงทำให้ต้องสูญเสียป่าไม้และทรัพยากรไปเป็นจำนวนมาก
ในปี พ.ศ.2512 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จึงได้ทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์จัดตั้ง “โครงการหลวง” ขึ้นเพื่อช่วยประสานงานกับหน่วยราชการต่างๆ เพื่อเร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาชาวเขาอย่างรีบด่วนโดยมี มจ.ภีศเดช รัชนี เป็นผู้รับสนองพระราชดำริและนำมาปฏิบัติ โดยดำรงตำแหน่ง องค์อำนวยการโครงการฯ ซึ่งมีชื่อเรียกโครงการนี้ในสมัยเริ่มงานครั้งแรกว่า “โครงการหลวงพัฒนาชาวเขา” หรือ “โครงการหลวงพัฒนาภาคเหนือ ” ส่วนคณะผู้ทำงานจากหน่วยงานต่างๆ ที่อาสาสมัครออกไปทำการส่งเสริมช่วยเหลือชาวไทยภูเขาในวันหยุดราชการ หรือวันอาทิตย์ จะเรียกงานนี้ว่า “โครงการเกษตรหลวงในพระบรมราชานุเคราะห์” และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อให้เหมาะสมอีกครั้งเมื่อปี พ.ศ. 2523 เป็น “โครงการหลวง”
โครงการหลวง มีงานหลักเพื่อสนองพระราชดำริ 4 ขั้นตอน คือ งานวิจัย งานส่งเสริม งานพัฒนาที่ดิน งานพัฒนาเศรษฐกิจ – สังคม กรมพัฒนาที่ดินได้เข้ามาร่วมอย่างจริงจังในปี 2519 โดยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้เสด็จพระราชดำเนินไปที่บ้านทุ่งเรา อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ และทรงมีพระราชดำริ “พื้นที่นี้สมควรที่จะเข้าทำการพัฒนาและจัดที่ดินให้ราษฎร และชาวเขาเข้าทำกินเป็นหลัก แหล่งถาวร”โดยขอให้หน่วยงานต่าง ๆ เช่น กรมป่าไม้ กรมพัฒนาที่ดิน กรมส่งเสริมการเกษตร กรมชลประทาน กรมวิชาการเกษตร เข้าร่วมดำเนินงาน พัฒนาที่ดินซึ่งรับผิดชอบงานพัฒนาที่ดินจึงได้ส่งเจ้าหน้าที่จาก กองบริรักษ์ที่ดิน กองสำรวจดิน กองสำรวจดิน กองจำแนกที่ดิน ทั้งนี้โดยใช้งบประมาณจากกองบริรักษ์ที่ดินเป็นบางส่วน และรับเงินสมทบจากโครงการอีกจำนวนหนึ่ง
ในปี พ.ศ. 2522 กรมพัฒนาที่ดิน ได้มีงบประมาณเพื่อดำเนินการโครงการหลวงพัฒนาที่ดิน หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าโครงการพัฒนาที่ดินชาวเขาเป็นของโครงการเอง โดย มจ. ภีศเดช รัชนี องค์อำนวยการโครงการหลวง ได้ทำหนังสือถึงสำนักงบประมาณขอให้สนับสนุนโครงการหลวง โดยจัดงบประมาณให้แก่โครงการหลวงพัฒนาที่ดินเป็นการเฉพาะ ดังนั้นโครงการจึงเริ่มได้รับงบประมาณ และเครื่องจักรกลจากรัฐบาลมาเพื่อปฏิบัติงาน สนองพระราชดำริให้ลุล่วงไปด้วยดี ในปี พ.ศ. 2527 โครงการหลวงพัฒนาที่ดิน ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ฝ่ายปฏิบัติการโครงการหลวงภาคเหนือ” สังกัด สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 6 ต.ดอนแก้ว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ โดยมีลักษณะการดำเนินงานเรียกว่า “ขอจัดพัฒนาที่ดิน” ในเขตพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมหรือป่าที่ถูกทำลาย เนื่องจากที่ดินบนภูเขาเป็นของรัฐบาล แต่กรมป่าไม้มีหน้าที่ดูแลรักษาเพื่อป้องกันการตัดไม้ทำลายป่าและบุกรุกที่ทำกิน โดยมีกฎหมายเกี่ยวกับกรมป่าไม้ต่างๆ คุ้มครองอยู่ ดังนั้น จึงต้องขออนุญาตจากกรมป่าไม้ เพื่อให้ได้รับอนุญาตให้เข้าไปดำเนินการจัดที่ดินเพื่อการเกษตร และจัดที่อยู่อาศัยให้แก่ชาวไทยภูเขาและชาวไทยพื้นราบด้วย ต่อมาในปี พ.ศ. 2536 กรมพัฒนาที่ดินได้มีคำสั่งยกฐานะฝ่ายปฏิบัติการโครงการหลวงภาคเหนือ สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 6 ขึ้นเป็น “สำนักงานพัฒนาที่ดินที่สูง” และในปี พ.ศ. 2546 ได้เปลี่ยนเป็น “ศูนย์ปฏิบัติการโครงการหลวงภาคเหนือ” เพื่อมุ่งเน้นการปฏิบัติงานพัฒนาพื้นที่สูง ในเขตพื้นที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงของมูลนิธิโครงการหลวง เป็นต้นมา และในวันที่ 10 กันยายน 2547 ผู้ร่วมปฏิบัติงานโครงการหลวงหลายหน่วยงาน มีความเห็นว่าชื่อ “ศูนย์ปฏิบัติการโครงการหลวงภาคเหนือ” ไม่ได้สื่อภารกิจของกรมพัฒนาที่ดินที่ชัดเจนและง่ายต่อการเข้าใจ จึงได้ขออนุมัติกรมพัฒนาที่ดินเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “ศูนย์ปฏิบัติการพัฒนาที่ดินโครงการหลวง” โดยใช้ตัวย่อว่า “ศพล.”